ความรู้พื้นฐานที่นักถ่ายรูปทุกคนควรทราบ
ความเร็วชัตเตอร์
ความเร็วชัตเตอร์เป็นการกำหนดระยะเวลาในการบันทึกภาพซึ่งกลไกของกล้องจะมีแผ่นเลื่อนเปิดปิดอยู่หน้าฟิล์ม
(หรือแผ่นรับแสง CCDในกรณีของกล้องดิจิตอล)
เรียกว่าชัตเตอร์สามารถเปิดและปิดเพื่อเปิดให้แสงเข้าไปบันทึกภาพตามระยะเวลาที่เราตั้งความเร็วชัตเตอร์เราต้องเลือกให้เหมาะสมกับวัตถุที่ต้องการถ่ายภาพโดยทั่วไปจะพิจารณาจากสภาพแสง
เช่น การถ่ายภาพจากแหล่งแสงที่มีแสงน้อยเช่น แสงเทียน
ต้องเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์หลายวินาทีส่วนการถ่ายภาพกลางแจ้ง มีแดดจัด
ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงกว่า เช่น1/500 วินาทีเป็นต้น
ปัจจัยอื่นที่สำคัญคือความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุ
เช่นการถ่ายภาพรถยนต์เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว
ต้องการให้ภาพคมชัดต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงสุดเท่าที่ทำได้โดยสัมพันธ์กับขนาดรูรับแสงที่เลือก
เช่น ตั้งความเร็วชัตเตอร์ที่ 1/4000วินาที เป็นต้น
ขนาดรูรับแสง
กล้องส่วนใหญ่จะมีอุปกรณ์บังคับให้แสงผ่านเลนส์มากหรือน้อยโดยใช้แผ่นกลีบโลหะซึ่งติดตั้งอยู่ในตัวเลนส์เป็นการกำหนดปริมาณแสงผ่านเลนส์ได้มากหรือน้อยโดยวิธีเปิดรูเล็กสุด
เช่น f/22 และค่อยๆใหญ่ขึ้นตามลำดับจนกระทั่งเปิดเต็มที่
เช่น f/1.4แต่ขนาดเปิดเต็มที่จะขึ้นกับขนาดชิ้นเลนส์ด้วยเลนส์ราคาสูงที่มีเลนส์ชิ้นหน้าขนาดใหญ่
จะรับแสงได้มากกว่าซึ่งหมายถึงเปิดรูรับแสงเต็มที่ได้กว้างกว่า เช่น f/1.2สำหรับการถ่ายภาพจะเลือกใช้ขนาดรูรับแสงใด
โดยทั่วไปจะพิจารณาจากสภาพแสงถ้าแสงมากมักจะใช้ขนาดรูรับแสงเล็ก เช่น f/11ถ้าแสงน้อยมักจะใช้ขนาดรูรับแสงใหญ่
เช่น f/2 เป็นต้น ปัจจับอื่นที่สำคัญคือ ความชัดลึก
ความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วชัตเตอร์กับขนาดรูรับแสง
การตั้งความเร็วชัตเตอร์และขนาดรูรับแสงต้องมีความสัมพันธ์กัน
เพื่อให้ได้ปริมาณแสงที่พอเหมาะในการบันทึกภาพซึ่งในสภาพแสงเดียวกัน
และเลือกค่าความไวแสงเท่ากันสามารถตั้งค่าที่เหมาะสมได้หลายค่า ตามตัวอย่าง เช่น
การตั้งความเร็วชัตเตอร์และขนาดรูรับแสง
การเลือกคู่ที่เหมาะสมตามตัวอย่างในหัวข้อ
ความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วชัตเตอร์กับขนาดรูรับแสง
ให้พิจารณาได้จากปัจจับต่างๆดังนี้
1. ความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุที่จะถ่าย วัตถุที่เคลื่อนที่เร็วแต่เราต้องการภาพชัด
ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงสุดเท่าที่กล้องจะทำได้แต่ถ้าเป็นวัตถุที่อยู่นิ่งนั้น
สามารถเลือกความเร็วชัตเตอร์เท่าไรก็ได้
2. ความชัดลึกของวัตถุที่จะถ่าย ขนาดรูรับแสงเล็กเช่น
f/22 จะให้ความชัดลึกมากกว่าขนาดรูรับแสงกว้าง เช่น
f/1.4ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญมากในการถ่ายภาพระยะใกล้หรือใช้เลนส์ถ่ายไกลในการถ่ายภาพ
การชดเชยแสง
เป็นการปรับปริมาณแสงในการบันทึกภาพให้แตกต่างไปจากค่าที่ได้จากเครื่องวัดแสงเช่น
การถ่ายภาพย้อนแสงนั้น
ค่าที่ได้จากเครื่องวัดแสงมักจะได้ค่าที่ทำให้วัตถุค่อนข้างมืด
การชดเชยแสงโดยเพิ่มแสงมากกว่าที่วัดแสงได้ หรืออีกกรณีหนึ่งคือการถ่ายภาพวัถตุที่อยู่หน้าฉากหลังสีดำค่าที่ได้จากเครื่องวัดแสงมักจะได้ค่าที่ทำให้วัตถุค่อนข้างสว่างเกินไปการชดเชยแสงทำได้โดยลดแสงให้น้อยกว่าที่วัดแสงได้
เป็นต้น
การเปลี่ยนความเร็วชัตเตอร์และขนาดรูรับแสงเพื่อชดเชยแสง
ในการชดเชยแสงนั้นนิยมปรับเปลี่ยน
เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งคือความเร็วชัตเตอร์ หรือขนาดรูรับแสง
หลักการชดเชยแสงก็มีเพียงสองทาง คือ เพิ่มแสง หรือลดแสง
การเพิ่มแสง
การปรับที่ความเร็วชัตเตอร์คือ
การลดความเร็วชัตเตอร์ลง เช่น วัดแสงได้ 1/500
วินาที เพิ่มแสง 1ระดับก็ต้องตั้งความเร็วชัตเตอร์เป็น 1/250ยึดหลักว่าถ้าชัตเตอร์ปิดช้าลงก็จะต้องได้แสงมากขึ้นแน่นอนหากเพิ่มแสงโดยปรับที่ขนาดรูรับแสงก็ต้องเพิ่มขนาดรูรับแสงให้ใหญ่ขึ้นเช่น
วัดแสงได้ f/4 เพิ่มแสง 1
ระดับก็ต้องเปลี่ยนเป็น f/2.8
การลดแสง
การปรับที่ความเร็วชัตเตอร์คือ
การเพิ่มความเร็วชัตเตอร์ เช่น วัดแสงได้ 1/500
วินาที ลดแสง 1 ระดับก็ต้องตั้งความเร็วชัตเตอร์เป็น 1/1000คือให้ชัตเตอร์ปิดเร็วขึ้นเท่าตัวนั่นเอง
หากลดแสงโดยปรับที่ขนาดรูรับแสงก็ต้องลดขนาดรูรับแสงให้เล็กลง เช่น วัดแสงได้ f/4
ลดแสง 1 ระดับก็ต้องเปลี่ยนเป็น f/5.6
การเลือกความเร็วชัตเตอร์ที่เหมาะสมกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเลือกความเร็วชัตเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของวัตถุนั้น
ให้พิจารณาดังนี้
- ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ
แบ่งทิศทางการเคลื่อนที่เป็น2
ลักษณะ คือเคลื่อนที่เข้าหา/ออกห่างกล้อง
หรือเคลื่อนที่ผ่านกล้องจากซ้ายไปขวาหรือกลับกันโดยที่การเคลื่อนที่เข้าหาหรือออกห่างจากกล้องนั้นสามารถเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำว่าการเคลื่อนที่ผ่านกล้องเช่น
รถยนต์ที่ขับด้วยความเร็วด้วยความเร็ว 60
กม./ชม.เท่ากันที่เคลื่อนที่เข้าหากล้อง อาจใช้ความเร็วชัตเตอร์ 1/125แต่ถ้าเคลื่อนที่ผ่านกล้อง
อาจต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์ถึง 1/500
- ความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุ
วัตถุที่เคลื่อนที่เร็วเช่น รถแข่ง
ควรเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงสุดที่กล้องสามารถทำได้ส่วนคนเดิน
สามารถใช้ความเร็วที่น้อยกว่าได้ อย่างไรก็ตามการถ่ายภาพวัตถุเคลื่อนที่ควรเลือกใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงสุดเท่าที่สภาพแสงอำนวยผลลัพธ์หยุดนิ่งหรือดูแล้วเคลื่อนไหว
การสร้างสรรภาพบางแบบนิยมให้ภาพดูแล้วมีลักษณะเบลอแบบเคลื่อนไหวเพื่อให้ผู้ชมภาพมีความรู้สึกว่า
มีความเคลื่อนไหวในภาพอาจใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่ช้ากว่าปกติได้ เช่น
รถแข่งอาจใช้ความเร็วชัตเตอร์ 1/15พร้อมกับเล็งกล้องติดตามรถแข่งไปด้วยขณะที่กดปุ่มชัตเตอร์หากฝึกให้ดีแล้วจะได้ภาพที่รถแข่งชัดบางส่วนส่วนฉากหลังจะมีลักษณะเป็นลายทางให้ความรู้สึกถึงความเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว
- ความชัดลึก
อันนี้เป็นคุณสมบัติเรื่องของเลนส์เป็นหลักเลยครับ
ปัจจับที่มีผลต่อเรื่องนี้คือขนาดรูรับแสงขนาดรูรับแสงที่เล็กจะชัดลึกกว่า
ขนาดรูรับแสงใหญ่ เช่นถ้าเราถ่ายภาพระยะใกล้ เช่น ถ่ายดอกชบา 1
ดอกแบบเต็มภาพทางด้านหน้าเราจะเห็นว่าเกสรดอกจะอยู่ใกล้กล้องมากที่สุด กลีบดอก
และก้านดอกจะอยู่ลึกหรือไกลกล้องออกไปหากเราต้องการถ่ายภาพให้ชัดทั้งหมดตั้งแต่เกสรดอกจนถึงก้านดอกนี่แหละคือสิ่งที่เราเรียกว่าความชัดลึก
ซึ่งต้องใช้รูรับแสงขนาดเล็กไว้ในทางกลับกันหากเราใช้รูรับแสงใหญ่
จะเรียกว่าชัดตื้นมักใช้ในกรณีที่เราต้องการให้ฉากหลังมีความคมชัดน้อยกว่าวัตถุเพื่อเน้นให้วัตถุเด่นขึ้นมา
มักจะพบบ่อยในการถ่ายภาพแฟชั่นหรือการถ่ายบุคคลเฉพาะใบหน้า
- ขนาดความยาวโฟกัสของเลนส์
เลนส์ที่มีความยาวโฟกัสน้อยเช่น 28
ม.ม. จะมีความชัดลึกมากกว่าเลนส์ 300
ม.ม.ดังนั้นใครที่ต้องการถ่ายภาพให้ชัดลึกก็ต้องเลือกความยาวโฟกัสให้น้อยเข้าไว้เช่นการถ่ายภาพทิวทัศน์
ส่วนงานถ่ายภาพแฟชั่น มักจะใช้ขนาดความยาวโฟกัสมากเพื่อเน้นที่นางแบบให้เด่นครับ
ระยะห่างระหว่างกล้องถึงวัตถุ
ระยะห่างมากจะชัดลึกกว่าระยะห่างน้อย
เราจะเห็นว่าเวลาเราถ่ายภาพวิว ซึ่งเป็นระยะไกลๆภาพมักจะชัดทั้งภาพ
แต่ถ้าเราถ่ายภาพดอกไม้ในระยะใกล้ๆภาพมักจะไม่ชัดทั้งภาพ จะชัดเพียงบางส่วน
ตามที่เราตั้งโฟกัสไว้พอรู้อย่างนี้แล้วครั้งต่อไปที่ถ่ายภาพดอกไม้ระยะไกล้อย่าลืมใช้ขนาดรูรับแสงเล็กๆนะครับ
การวัดแสงเพื่อการถ่ายภาพ
เทคนิคการวัดแสงขั้นพื้นฐาน
ให้พิจารณาจากปัจจัยสำคัญดังนี้
- แหล่งต้นกำเนิดแสง
กล้องปัจจุบันสามารถปรับสมดุลย์สีขาว(White
balance) ได้อัตโนมัติผู้ใช้กล้องทั่วไปจึงไม่ได้ให้ความสำคัญในส่วนนี้แต่แท้จริงแล้วเป็นส่วนสำคัญที่จะได้ภาพที่มีสีสรรถูกต้องเนื่องจากฟิล์มถูกผลิตมาให้เหมาะสมกับอุณหภูมิสีของแสงตามที่ออกแบบมา
เช่นแสงอาทิตย์ (Daylight) หรือแสงจากหลอดไส้ หรือแสงจากหลอดนีออน
เป็นต้นหากเป็นกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่มักจะออกแบบมาให้สามารถปรับเปลี่ยนชนิดแหล่งต้นกำเนิดแสงได้แม้ว่ากล้องจะมีปุ่มปรับสมดุลย์สีขาวอัตโนมัติ
(Auto White balance)มาแล้วก็ตาม
แต่บางครั้งการทำงานของระบบอัตโนมัติก็ไม่ถูกต้องนักซึ่งเราจะเห็นได้จากจอ LCD
ว่าสีเพี้ยนหากเป็นเช่นนี้เราก็ต้องปรับตั้งแหล่งต้นกำเนิดแสงด้วยตนเอง
เช่นแสงอาทิตย์ / แสงอาทิตย์มีเมฆมาก / แสงอาทิตย์ใต้อาคาร / แสงจากหลอดไส้
/แสงจากหลอดนีออน / ตั้งสมดุลย์สีขาวเอง (Custom)หากเราลองเปลี่ยนสมดุลย์สีขาวชนิดต่างๆในกล้องแล้วยังได้สีไม่ตรงตามความเป็นจริงเราต้องใช้วิธีตั้งสมดุลย์สีขาวเองซึ่งวิธีการจะแตกต่างกันไปในกล้องแต่ละยี่ห้อซึ่งวิธีการโดยทั่วไปจะต้องใช้กระดาษสีขาวมาวางไว้ภายใต้สภาพแสงขณะนั้นแล้วเลือกตั้งสมดุลย์สีขาวเอง
จากนั้นส่องกล้องให้เห็นกระดาษสีขาวเต็มจอกดปุ่ม Set เพื่อให้กล้องอ่านอุณหภูมิสีขณะนั้นกล้องจะปรับแก้ให้เราเห็นกระดาษขาวเป็นสีขาวจริงๆ
ผ่านจอ LCDเป็นเสร็จพิธี
แล้วก็ถ่ายภาพที่มีสีถูกต้องในสภาพแสงนั้นได้ตลอดหากออกจากสภาพแสงนั้นแล้วอย่าลืมเปลี่ยนสมดุลย์สีขาวหรือตั้งค่าใหม่ด้วยนะครับ
- ทิศทางของแสง
การถ่ายภาพแบบพื้นฐานนั้น
เราจะเน้นแต่แสงธรรมชาติกับแสงจากแฟลช แบ่งเป็น
1.แสงส่องวัตถุคือแสงส่องหน้าแบบของเรา
ซึ่งแสงจากแฟลชก็เป็นแสงแบบนี้
2.แสงหลังหรือที่เรียกว่าย้อนแสง
3.แสงข้าง
4.แสงบนเช่นตอนเที่ยงวัน
การวัดแสงควรวัดแสงที่วัตถุเท่านั้นจะได้ค่าการวัดแสงที่ถูกต้องที่สุดในกรณีแสงข้าง
ควรวัดแสงเฉลี่ยด้านมืดกับด้านสว่างแต่ถ้าเราต้องการภาพเชิงศิลป์ออกโทนมืดๆหน่อย
ให้วัดแสงที่ด้านสว่างกรณีนี้ต้องใช้กล้องที่สามารถปรับวิธีวัดแสงแบบเฉพาะจุด (Spot)จะได้ไม่ต้องเข้าใกล้ขนาดจ่อหน้านางแบบมากขอเสริมเทคนิคให้สำหรับกล้องที่ไม่สามารถปรับวิธีวัดแสงแบบเฉพาะจุดได้ให้ใช้วิธีวัดแสงกับมือของตากล้องนี่แหละครับดูแปลกๆหน่อยแต่ก็ช่วยให้วัดแสงได้แม่นยำขึ้นนะครับ
โดยหลักการแล้วกล้องแบบนี้จะวัดแสงเฉลี่ยดังนั้นช่างภาพยกมือเราขึ้นมาทำให้แสงที่ตกบนมือเราเหมือนกับที่หน้านางแบบเช่น
แสงข้างก็ต้องกำมือปรับมุมข้อมือให้แสงตกบนหลังมือเราเหมือนแสงที่หน้านางแบบแล้วเอากล้องจ่อที่มือเราแล้ววัดแสง
เราอาจเน้นด้านสว่างก็จ่อกล้องที่ด้านสว่าง หรือเน้นที่ด้านมืด
ก็จ่อกล้องที่ด้านมืดแต่ถ้ากล้องของเราทำการตั้งระยะชัดพร้อมกับวัดแสงด้วยแบบนี้ใช้ไม่ได้นะครับ
เพราะระยะชัดไม่ถูกต้องครับถ้าเป็นเช่นนี้ก็ยังไม่หมดหนทางครับแต่เราต้องเตรียมกระดาษสีเทาใบใหญ่กว่า
A4
ก็ดีครับให้นางแบบถือไว้โดยปรับมุมของกระดาษสีเทานี้แสงตกกระทบในมุมเดียวกับหน้านางแบบแล้ววัดแสงที่กระดาษสีเทาก็ได้จะได้ค่าแสงที่เหมาะสมครับความเปรียบต่างของแสงส่องวัตถุกับแสงหลัง
เช่นกรณีการถ่ายย้อนแสงโดยที่นางแบบอยู่ในร่มเงาฉากหลังเป็นหาดทรายสีขาว
แบบนี้ถ้าวัดแสงแบบเฉลี่ยทั้งภาพผลลัพธ์ก็จะออกมามืดไปเพราะเครื่องวัดแสงของกล้องจะโดนหลอกจากแสงหลังที่มาจากหาดทรายว่าแสงมากจึงให้ค่าการวัดแสงที่ต่ำเกินไปคือถ่ายออกมาแล้วมืดไปเราต้องใช้วิธีวัดแสงเฉพาะจุดที่หน้านางแบบ
แต่วิธีนี้ก็ให้ผลเสียคือฉากหลังจะขาวเกินไปจนอาจมองไม่ออกเลยว่าถ่ายที่ไหนวิธีนี้แนะนำให้เปิดแฟลชเพื่อลบเงาที่หน้านางแบบแฟลชที่ติดมากับกล้องจะได้ผลน้อย
แต่ก็ดีกว่าไม่เปิดท่านที่มีแฟลชเสริมขอให้หยิบมาใช้เลยครับภาพแจ่มทั้งนางแบบและฉากหลังเลยครับการวัดแสงมีเรื่องให้กล่าวถึงมากมายครับขอให้ติดตามต่อในเรื่องของการถ่ายภาพแบบพิเศษ